วันที่ 16 ก.พ. เวลา 18.20 น. นายอัครกิตติ์ วรโรจน์เจริญเดช หรือเบนซ์ เรซซิ่ง อายุ 30 ปี สามี น.ส.ณปภา ตันตระกูล หรือแพท นางเอกชื่อดัง ให้สัมภาษณ์หลังนำเอกสารหลักฐานเข้าพบพนักงานสอบสวน บช.ปส. เป็นครั้งที่2 โดยใช้เวลาประมาณ 4 ชั่วโมงว่า การเข้าพบครั้งนี้ไม่ได้มีหมายเรียก แต่ต้องการเข้ามาแสดงความบริสุทธิ์ใจที่จะนำเอกสารหลักฐานมาเพิ่มเติม รวมทั้งให้ปากคำเพิ่มเติมกับเจ้าหน้าที่ โดยนำหลักฐานมามอบให้หลายอย่าง พร้อมชี้แจงกับเจ้าหน้าที่แล้ว หลังจากนี้คงต้องรอให้เจ้าหน้าที่สรุปออกมาอีกที ส่วนเรื่องที่ระบุว่าหลักฐานทางการเงินพบว่าการประกอบธุรกิจขาดทุน แต่นำเงิน 20 กว่าล้านบาทไปซื้อรถลัมโบร์กีนีนั้น เป็นเรื่องที่คนอื่นให้ข่าวมา แต่สรุปจะเป็นอย่างไรคงต้องให้เป็นเรื่องของเจ้าหน้าที่ โดยเงินที่นำมาซื้อมาจากการประกอบอาชีพของเราโดยปกติ
นายอัครกิตติ์ กล่าวต่อว่า ตนยังมั่นใจในความบริสุทธิ์ของตัวเอง และที่ผ่านมาก็ให้ความร่วมมือกับเจ้าหน้าที่มาโดยดีตลอด ทั้งนี้ในวันแรกที่เข้าพบเจ้าหน้าที่ยังไม่ได้เตรียมเอกสารอะไรมามาก เพราะระยะเวลาน้อย แต่หลังจากนั้นได้เข้าไปขอเอกสารสำคัญต่างๆมาประกอบด้วยในวันนี้ ส่วนการให้ปากคำของนายบอย ที่ซัดทอดว่าตนมีส่วนเกี่ยวข้องกับเครือข่ายไซซะนะ เกี่ยวกับการฟอกเงินนั้น ไม่ทราบว่าข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร แต่เราก็แสดงหลักฐานของเราอย่างชัดเจน โดยวันนี้ได้มอบหลักฐานเรื่องรถลัมโบร์กีนีทุกอย่างให้กับเจ้าหน้าที่แล้ว ทั้งหลักฐานการกู้เงินจากไฟแนนซ์ และเอกสารสำคัญที่มีที่มาที่ไปอย่างชัดเจนทุกอย่าง ส่วนหลักฐานการกู้เงินจากไฟแนนซ์กู้มาเท่าไหร่นั้น เป็นเรื่องทางลึกที่เจ้าหน้าที่จะตรวจสอบอีกที รวมถึงเรื่องเงิน 3 แสนที่มีการโอนเข้าบัญชีมา ขอเขาไปชี้แจงกับเจ้าหน้าที่ดีกว่า เบื้องต้นยังไม่มีหมายเรียกอะไรออกมา แต่หากมีหลักฐานเพิ่มเติมก็ยินดีที่จะมาให้เพิ่มเติม และวันนี้ยังไม่มีการแจ้งข้อกล่าวหาใดๆ หากเจ้าหน้าที่ต้องการได้ข้อมูลเพิ่มเติม เรายินดีที่จะมาให้ข้อมูลอยู่แล้ว
ขณะที่พ.ต.อ.สมเกียรติ วรรณสิริวิไล รองผบก.อก.บช.ปส. ในฐานะผู้ช่วยโฆษก ปส.เปิดเผยว่า วันนี้นายเบนซ์มาพบพนักงานสอบสวน ให้การเป็นประโยชน์อย่างมาก โดยนำเอกสาร 26 ชุด จำนวน 150 หน้า มามอบ เป็นหลักฐาน ซึ่งเป็นเอกสารเกี่ยวกับแหล่งที่มาของเงินที่ใช้ในเรื่องของธุรกิจ รายได้เสริมที่ประกอบธุรกิจ ไปจนถึงรายการต่างๆเช่น การสั่งซื้อสินค้า เอกสารสัญญาต่างๆเกี่ยวกับการโอนหรือซื้อขายรถยนต์ ซึ่งพนักงานสอบสวนรวบรวมไว้เพื่อเป็นหลักฐานชั่งน้ำหนักประกอบคำให้การ แต่ตอนนี้รอธุรกรรมการเงินจากธนาคารต่างๆ เพื่อมาสรุปความสัมพันธ์ในแต่ละส่วน และให้คณะพนักงานสอบสวนตัดสินใจอีกครั้งในสัปดาห์หน้า สำหรับเอกสารที่นายเบนซ์มอบมาถึงแม้ว่าเจ้าตัวจะบอกว่าเคลียร์ทุกประเด็น ชัดเจนแล้ว แต่ตำรวจก็ต้องตรวจสอบว่าสัมพันธ์ต่างๆนั้นสอดคล้องตรงกับคำให้การหรือไม่
พ.ต.อ.สมเกียรติ กล่าวอีกว่า สำหรับกรณีที่มีข้อสงสัยว่ารายได้นายเบนซ์ไม่น่าจะมีจำนวนมากเพียงพอที่จะซื้อรถได้นั้น ทางตำรวจยังไม่ได้ลงลึกถึงขั้นว่านายเบนซ์มีกำไรหรือขาดทุนในธุรกิจเท่าใด ตนจึงขออนุญาตให้เป็นหน้าที่ของงานสอบสวน ซึ่งยังไม่สามารถเปิดเผยได้ว่ารายละเอียดการให้ข้อมูลในส่วนใดบ้างของนายเบนซ์ที่ไม่ตรงกับข้อมูลที่ชุดสืบสวนมี เนื่องจากต้องกลับไปตรวจสอบเอกสารกว่า 150 หน้าให้ครบถ้วนเสียก่อน เพราะนายเบนซ์อ้างว่าไปกู้เงินไฟแนนซ์มา ซึ่งไฟแนนซ์ไปกู้ธนาคารมาอีกต่อ โดยต้องไปดูว่ากู้ไปทำอะไร ใช้ส่วนไหน ส่งให้ใคร แต่เบื้องต้นทราบว่านายเบนซ์นำเอกสารที่กู้จากไฟแนนซ์มาให้แล้ว แต่เอกสารที่ไฟแนนซ์ไปกู้จากธนาคารอีกต่อหนึ่งนั้น ทางตำรวจจะต้องเป็นผู้ติดตามขอข้อมูลจากธนาคารเอง ในส่วนของกรณีว่าก่อนหน้านี้มีรถคันอื่นๆที่นายเบนซ์กู้ไฟเเนนซ์หาหรือไม่นั้น ตนยังตอบไม่ได้
พ.ต.อ.สมเกียรติ กล่าวต่อว่า ทั้งนี้ในส่วนอื่นๆที่เป็นความเห็นทางคดีตนไม่สามารถตอบได้ และสำนวนคดีนั้นเหลือในเรื่องธุรกรรมทางการเงินที่รอจากธนาคารและด้านความสัมพันธ์ทางการเงินต่างๆที่ชี้วัดว่าเกี่ยวพันกันอย่างไรกับนายบอยที่ถูกจับกุมไปแล้ว ทั้งนี้สาเหตุที่ทำให้การส่งข้อมูลทางธุรกรรมของนายเบนซ์มายังพนักงานสอบสวนล่าช้านั้นเป็นเพราะนายเบนซ์มีหลายบัญชี ซึ่งหากหลักฐานเชื่อมโยงไปถึงใครก็จะเชิญมาให้ปากคำ แต่ยืนยันว่าขณะนี้นายเบนซ์ยังไม่ใช่ผู้ต้องหา จึงมีสิทธิที่จะยื่นเอกสารให้กับพนักงานสอบสวนได้เสมอ อย่างไรก็ตามขณะนี้ยังรับเอกสารในส่วนธุรกิจ รวมไปถึงสัญญา ซื้อขาย กู้ยืม ทุกอย่าง เป็นส่วนสำคัญในการประกอบสำนวน หลังจากนี้อาจจะต้องเชิญนายเบนซ์มาพบอีก เนื่องจากมีทรัพย์ส่วนหนึ่งที่โดนอายัดไว้ เป็นส่วนของ ป.ป.ส. ทั้งนี้สำหรับยุทธการครั้งต่อไปนั้น ไม่สามารถตอบได้ เนื่องจากต้องรอการรวบรวมข้อมูลและรายละเอียด หากพร้อมหรือพบผู้กระทำความผิดก็จะดำเนินการทันที
ที่มา https://www.khaosod.co.th