จากกรณีนายกฤษณะ เมรกูล อายุ 53 ปี เด็กวัดบุณย์กัญจนาราม ถูกทุบด้วยของแข็งเข้าที่ศีรษะ เสียชีวิตในสภาพเปลือยกาย มีจีวรคลุมร่างไว้ ภายในห้องพักข้างเมรุ วัดบุณย์กัญจนาราม ริมถนนสุขุมวิท หมู่ 12 ต.หนองปรือ อ.บางละมุง จ.ชลบุรี โดยในที่เกิดเหตุพบฆ้อนตกอยู่ 1 อัน ตำรวจคาดว่าน่าจะเป็นอาวุธสังหาร เหตุเกิดเมื่อวันที่ 30 พ.ค.ที่ผ่านมา ตามที่เสนอข่าวไปแล้วนั้น
ความคืบหน้าล่าสุดวันที่ 9 มิ.ย. พ.ต.อ.อภิชัย กรอบเพชร ผกก.สภ.เมืองพัทยา จ.ชลบุรี พ.ต.ท.สมพาน สุขสำราญ รอง ผกก.สส. พ.ต.ท.พงศ์สุรวัฒน์ วงษ์สารัมย์ สว.สว. พร้อมกำลังตำรวจชุดสืบสวน นำหมายจับศาลจังหวัดพัทยาที่ 241/2560 ลงวันที่ 1 มิ.ย.60 ข้อหา “ฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา” บุกเข้าจับกุมนายอิทธิพล สายเอน อายุ 39 ปี หรือฉายา “โก๊ะ 3ตา” ผู้ต้องหาฆ่านายกฤษณะ ขณะกบดานอยู่ในบ้านของเพื่อนสนิท เลขที่ 43 หมู่ 1 ต.บางเสร่ อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี
จากการสอบสวนผู้ต้องหาให้การรับสารภาพโดยอ้างว่า ได้ลงมือฆ่านายกฤษณะจริง โดยในวันเกิดเหตุได้นั่งดื่มสุราอยู่ด้วยกันภายในห้องพักที่เกิดเหตุ แต่ภายหลังพอเมาได้ที่ จู่ๆ ถูกนายกฤษณะ ก็ด่าถึงบุพการี ตนจึงความโมโหแล้วด่ากลับไปบ้าง จนเกิดการทะเลาะกันขึ้นอย่างรุนแรง ก่อนที่ตนจะเปิดฉากใช้หมัดเท้าเข่าศอกประเคนใส่ผู้ตายจนสบักสะบอม ก่อนจะเสียชีวิต หลังก่อเหตุจึงหลบหนีมากบดานที่บ้านเพื่อนจนมาถูกตำรวจจับกุมดังกล่าว
นายอิทธิพล ให้การอีกว่า ปัจจุบันตนมีอาชีพเป็นเด็กเรือรับส่งนักท่องเที่ยวที่เกาะล้าน เมืองพัทยา ส่วนที่มาของรอยสักบนใบหน้าจนเป็นที่มาของฉายา “โก๊ะ 3 ตา” ให้เพื่อนที่เกาะล้านสักให้ตามจินตนาการของตนในขณะมึนเมาสุรา ไม่ได้มีที่มาลึกลับซับซ้อนหรือความหมายใดๆ ที่ผ่านมาในอดีตเคยถูกดำเนินคดีเพียงแค่ข้อหาเสพยาเสพติดเท่านั้น
ด้าน พ.ต.อ.อภิชัย เผยว่า หลังเกิดเหตุจึงสั่งการให้ชุดสืบสวนลงพื้นที่หาข่าวและเบาะแสของคนร้ายเพื่อเร่งคลี่คลายคดี เนื่องจากเป็นเหตุอุกฉกรรจ์สะเทือนขวัญประชาชน คนร้ายกล้าลงมือฆ่าคนตายในวัดโดยไม่เกรงกลัวบาปกรรม กระทั่งได้หลักฐานและมีพยานระบุว่าคนร้ายรายนี้คือนายอิทธิพล อาชีพเด็กเรือที่เกาะล้าน จึงขออำนาจศาลจังหวัดพัทยาออกหมายจับ ก่อนนำถ่ายของนายอิทธิพล ซึ่งมีเอกลักษณะประจำตัวคือมีรอยสักอยู่เต็มใบหน้า โดยเฉพาะที่บริเวณหน้าผากซึ่งมีรอยสักคล้ายดวงตา โพสต์ลงในเฟซบุ๊กเพจ “Pattaya Police” จนมีการแชร์ต่อจำนวนมาก เวลาผ่านไปไม่นานจึงมีพลเมืองดีโทรศัพท์มาแจ้งเบาะแส เพราะจำหน้าคนร้ายที่กระจายในโลกโซเชียลได้อย่างแม่นยำ จึงทำให้สามารถติดตามจับกุมตัวได้อย่างไม่ยากเย็นดังกล่าว
ที่มา https://www.khaosod.co.th